จากสำนักงานธรณีวิทยาแห่งสหรัฐฯ (ยูเอสจีเอส) เผยว่า ในอีก 30 ปี ข้างหน้า พื้นที่ตามแถบชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐ รวมไปถึงเมืองใหญ่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เช่น ลอสแองเจลีสและซานฟรานซิสโก มีความเสี่ยงสูงถึง 51% ที่จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งแรงระดับ 7 หรือมากกว่านั้น และมีโอกาสสูงถึง 98% ที่จะเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6 หรืออาจรุนแรงมากกว่านั้น และจะส่งผลให้มีประชาชนนับล้านคนต้องเสียชีวิต
เมื่อเช้าวันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน 2016 ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของวงแหวนแห่งไฟ ต่างประสบเหตุภัยธรรมชาติแผ่นดินไหวระดับความรุนแรงมากกว่า 6 ส่วนในอาร์เจนติน่าต้องประเชิญกับแผ่นดินไหวขนาด 6.4 แม็กนิจูดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หากลากเส้นตามเป็นสี่เหลี่ยมจะพบว่า มุมที่หายไปชี้ไปที่แคลิฟอร์เนีย ขณะที่มลรัฐแห่งนี้ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาดเล็กๆหลาย 10 ครั้ง
โดยด็อกเตอร์โรเจอร์ มุสสัน (Dr. Roger Musson) ผู้ประพันธ์หนังสือ Million Death Quake: The Science of Predicting Earth’s Deadliest Natural Disaster ระบุว่า แม้เป็นเรื่องยากที่จะชี้ชัดว่าแผ่นดินไหวใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่แผ่นดินไหวรุนแรงเข่นฆ่าชีวิตผู้คนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และอาจเกิดขึ้นอีกได้ทุกเมื่อโดยไม่มีสัญญาณเตือน
loading...
เมื่อปี 2449 นครซานฟรานซิสโกเคยประสบแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดมาแล้ว ในครั้งนั้นได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 3,000 คน และ 80% ของเมืองที่พังพินาศ
ทั้งนี้ แผ่นดินไหวกว่าร้อยละ 90 ของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นทั่วโลก และอีกกว่าร้อยละ 80 ของแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ มักเกิดขึ้นในบริเวณ “วงแหวนแห่งไฟ”
จากการทดสอบฉุกเฉินโดยคาสคาเดีย ไรซิง (Cascadia Rising) ชี้ว่า รอยเลื่อนแซนแอนเดรอัส (San Andreas Fault) บริเวณใต้แคลิฟอร์เนีย มีศักยภาพในการก่อแผ่นดินไหวขนาด 8.3 ได้
โดยหนังสือ ยังบ่งชี้ถึงจุดเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ อิสตันบูล (Istanbul) หรือไม่ก็ เตหะราน (Tehran) ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ และมีเพียงธรรมชาติเท่านั้นที่สามารถคาดเดาได้ว่า ภัยธรรมชาติต่างๆ จะเกิดขึ้นที่ไหน อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ชำนาญด้านแผ่นดินไหวต่างยังคงจับตาอย่างกังวลไปที่นครอิสตันบูลและอิหร่านในหลายๆจุดที่เป็นพื้นที่เสี่ยง นั่นคงไม่แปลกที่จะมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากเพราะแผ่นดินไหวรุนแรง
Cr:http://www.tnews.co.th/contents/bg/309725