กรณีเหตุการณ์ที่ถูกเปิดเผยโดยนางสาลิกา คนฉลาด อายุ 69 ปี อยู่บ้านเลขที่ 40 หมู่ 7บ้านเหล่าภูมี ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม ว่าราว ๆปี 2552 ได้มีนายหน้าจัดหางานมาชักชวนลูกเขยกับลูกสาวของตนให้ไปทำงานที่ประเทศเกาหลี แต่ต้องเสียค่านายหน้าซึ่งตนอยากให้ลูกไปทำงานต่างประเทศแต่ไม่มีเงินเสียค่านายหน้า จึงได้นำโฉนดที่ดิน จำนวน 3 แปลงไปจำนองเป็นประกันกันนายทุนรายหนึ่งในจังหวัดนครพนม โดยนายทุนตีราคาที่ดินทั้งสามแปลงรวมกันเป็นเงิน 580,000 บาท ตนก็ตกลง แต่เมื่อจดจำนองเสร็จก็ได้รับเงินเพียง 520, 000 บาท โดยถูกหักดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 บาทต่อเดือนไว้ 3 เดือนที่เหลือเป็นค่าดำเนินการจดจำนองและค่านายหน้ารวมเบ็ดเสร็จเป็นเงิน 6 หมื่นบาท โดยนายทุนนัดให้มารับเงินในวันรุ่งขึ้น
loading...
เมื่อถึงกำหนดตนก็พากันไปรับเงินที่สำนักงานของนายทุนคนดังกล่าว แต่ก่อนรับเงินนายทุนได้ให้เซ็นสัญญาค้ำประกันเงินกู้ เป็นจำนวนเงินอีก 870,000 บาท โดยนายทุนอ้างว่าทำกันไว้เฉยๆ ไม่เป็นอะไร หากไม่ยอมเซ็นก็จะไม่ได้เงิน พวกตนจึงจำยอมต้องเซ็นไป
ต่อมาลูกสาวกับลูกเขยของตนถูกส่งกลับจากประเทศเกาหลีโดยยังใช้หนี้ไม่หมดเนื่องจากถูก ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของเกาหลีจับแล้วส่งกลับมา จึงพากันไปกู้เงินกับกองทุน หมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน (อชก. ) และได้รับการอนุมัติจึงนำเงินไปขอปลดหนี้กับนายทุน แต่ไม่คาดคิด นายทุนกลับใช้เล่ห์เพทุบาย นำเอายอดเงินในสัญญาที่ทำเพิ่มทีหลังมาบวกเพิ่มเข้าไปอีก รวมเป็นเงินประมาณ หนึ่งล้านสี่แสนบาท ซึ่งพวกตนต่อรองขอชำระเท่าที่ได้กู้มาจริงคือ 580,000 บาทแต่นายทุนก็ไม่ยอม หลังจากนั้นนายทุนก็ให้ทนายความยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดนครพนม บังคับจำนอง เป็นจำนวนเงิน 1,238,125 รวมดอกเบี้ยอีกเป็นเงิน 1,900,000 บาท ตนก็ได้ต่อสู้คดีมาโดยตลอด ตั้งแต่ปี2554 จนกระทั่งถึงศาลฎีกา พิพากษาให้ตนชำระหนี้เพียงแค่ 520,000 บาท เท่ากับจำนวนเงินที่ได้รับไปจริง ซึ่งตนก็ได้กู้ยืมเงินจาก อชก.ไปชำระเรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้นตนจึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ .เมืองนครพนม ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับนายทุนรายนี้ ในข้อหาเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ในวันที่ 28 สิงหาคม 2557 แต่หลังจากสอบสวนแล้วพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง ตนจึงจ้างทนายฟ้องเป็นคดีอาญาต่อศาลจังหวัดนครพนมเอง เป็นคดีดำเลขที่198/2559 และคดีแดงที่ 2776/2559 โดยศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2559 ให้ตัวนายทุนและลูกน้องที่เป็นพยานเท็จให้ ต้องโทษติดคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 โดยนายทุนได้ขออุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2560 นี้
นางสาลิกา ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ช่วงระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ นี้ทางกลุ่มนายทุนได้ส่งคนมาขอให้ตนยุติคดี โดยจะยอมจ่ายเงินชดเชยให้ 3 ล้านบาท แต่ถูกตนปฏิเสธไปโดยเห็นว่าคนยากคนจนถูกนายทุนรายนี้เอารัดเอาเปรียบมามากแล้ว ตอนนี้ตนจะลองพาคนรวยเข้าคุกลองดูสักครั้ง
Cr:http://www.tnews.co.th/contents/bg/318762